26 May 2011

How to install Openfiler v2.3 on VMware

             ไหนๆๆ ก็ต้องทำรายงานฝึกงานส่งให้ที่ ม. อยู่แล้ว ก็เลยถือโอกาส ลงบทความไว้เลยแล้วกันครับเผื่อลืม........ในการศึกษาค้นคว้าเรื่อง iSCSI Target ในการทดลองจะต้องติดตั้ง Linux Openfiler v2.3 ก่อน จะมีวิธีการติดตั้งและการตั้งค่าดังนี้ครับ!!!! 
              กรณีผมใช้ VMware ในการ Testing นะครับผมขอละการ Set VMware นะครับ^^! ทุกท่านๆๆ คงเคยเล่นมาแล้วจะแบ่งทรัพยากรยังไงก็สุดแล้วแต่ใจคิดเลยแล้วกันครับ




            จากรูปเมื่อทำการตั้งค่าให้ Boot ไปที่ CD แล้วจะมีหน้า GUI ของ Linux Openfiler โดยจะให้เลือกระหว่างการติดตั้งแบบ 2 แบบคือ แบบ Graphical Mode ด้วยการกด Enter ที่คีย์บอร์ด หรือ แบบ Text Mode ด้วยการพิมพ์ “linux text” แล้วกด Enter ที่คีย์บอร์ด ในกรณีนี้ข้าพเจ้าได้เลือกติดตั้งด้วยแบบ Graphical Mode  แล้วกด Enter  จะมีหน้า GUI ขึ้นมายินดีต้อนรับตรงนี้จะเป็นลักษณะการอธิบายรายละเอียดต่างๆ โดยตรงนี้ให้กด Next ต่อไป
   

              หน้านี้จะเป็นการตั้งค่า Keyboard Configuration โดยให้เลือกที่  United Kingdom แล้วกดที่ปุ่ม Next ต่อไป



                     หลังจาก Next จะมีหน้าต่าง  Disk Partitioning Setup โดยจะมีการตั้งค่าของการแบ่งพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไว้ 2 แบบคือ แบบ Automatically Partition (ระบบจะจัดสรรทรัพยากรฮาร์ดดิสก์ให้เอง) กับ Manually Partition with Disk Druid  (ต้องจัดสรรทรัพยากรฮาร์ดดิสก์ให้เอง)





                           หน้าต่างนี้จะเป็น การตั้งค่า Disk Setup กรณีข้าพเจ้าได้ทำการ จำลองเครื่องคอมพิวเตอร์จากซอฟต์แวร์ Virtualization โดยตรงนี้ข้าพเจ้าแบ่งพื้นที่ให้ 2.1 GB โดยประมาณ ดังนั้นต้องจัดการกับพื้นในฮาร์ดดิสก์ เพื่อให้ Linux Openfiler v2.3 ในการจัดสรรระบบต่างๆ



กำหนดการจัดสรรพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ดังนี้
1.             “/boot”  ส่วนนี้เป็นการกำหนดพื้นที่ให้ส่วนที่เป็นเคอร์เนล(Kernal) อยู่และระบบจะบูต(boot) ระบบจากพื้นที่ตรงนี้
2.             swap” ส่วนนี้เป็นสวอป (swap) ของระบบซึ่งจะทำหน้าที่ในการช่วยในระบบเก็บโปรเซสที่นอกเหนือจากหน่วยความจำสำรองเก็บโดยสลับกันไปมา
3.             /”   ส่วนนี้เป็นพื้นที่ System root โดยที่โปรแกรมต่างๆของระบบและไลบารี่จะถูกติดตั้งในส่วนนี้
                การสร้าง /boot พาร์ทิชัน
                โดยการกดปุ่ม New  แล้วจะมีหน้าต่าง Add Partition แล้วกำหนดค่าดังนี้          
                 Mount Point  :  /boot
                Filesystem Type :   ext3
                Allowable Drives : ตรงนี้ให้เลือกส่วนของดิสก์แรกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น IDE(hda) หรือ SCSI(sda)
               Size(MB) :  100 (หน่วยมีขนาดเป็นเมกะไบต์)
                Additional Size Options :   Fixed size
                Force to be a primary partition : checked (เป็นการเลือกให้เป็นพาร์ทิชันหลักหรือ Primary )
หลังจากตั้งค่าตามที่ได้กล่าวมาก็ให้กดปุ่ม  OK  ดังภาพ

การสร้าง “/” พาร์ทิชัน
                โดยการกดปุ่ม New  แล้วจะมีหน้าต่าง Add Partition แล้วกำหนดค่าดังนี้
                Mount Point  :  /
                Filesystem Type :   ext3
                Allowable Drives : ตรงนี้ให้เลือกส่วนของดิสก์แรกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น IDE(hda) หรือ SCSI(sda)
               Size(MB) :  2048 (เป็นส่วนของการเก็บโปรแกรมของระบบจะต้องให้พื้นที่เยอะเพื่อเก็บข้อมูล )
                Additional Size Options :   Fill to maximum allowable size
                อธิบายในส่วนของการเลือกของ  Additional Size Options :  เพิ่มเติม คือ
1.             Fixed size (ขนาดคงที่) เป็นการกำหนดให้พาร์ทิชันที่จะสร้างมีขนาดตามที่ท่านกำหนด
2.             Fill all space up to (MB) (ขยายพื้นที่จนได้ขนาด) คือกำหนดให้สร้างพาร์ทิชันให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่กำหนดถ้าพื้นที่ไม่พอก็ให้ใหญ่สุดท่าที่จะเป็นไปได้แต่ถ้าพื้นที่มากเกินไปก็ให้สร้างเท่าที่กำหนดไว้
3.             Fill to maximum allowable size (ขยายพื้นที่จนใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้) คือกำหนดให้สร้างพาร์ทิชันใหญ่เต็มพื้นที่ในส่วนที่ว่างเหลืออยู่
                Force to be a primary partition : checked (เป็นการเลือกให้เป็นพาร์ทิชันหลักหรือ Primary )
หลังจากตั้งค่าตามที่ได้กล่าวมาก็ให้กดปุ่ม  OK ดังภาพ




การสร้าง swap พาร์ทิชัน
                โดยการกดปุ่ม New  แล้วจะมีหน้าต่าง Add Partition แล้วกำหนดค่าดังนี้          
                Filesystem Type :   swap
                Allowable Drives : ตรงนี้ให้เลือกส่วนของดิสก์แรกเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น IDE(hda) หรือ SCSI(sda)
               Size(MB) :  512 (หน่วยมีขนาดเป็นเมกะไบต์)
                                ในการกำหนดขนาดของพาร์ทิชันสวอป (swap partition) ต้องดูที่หน่วยความจำสำรอง(RAM) เครื่องมีเท่าไรตัวอย่างเช่น ถ้าเครื่องมีหน่วยความจำสำรอง (RAM) ขนาด 2 GB ให้กำหนดพื้นที่พาร์ทิชันสวอป (swap partition) มีขนาด 4 GB แต่ถ้าเครื่องมีหน่วยความจำสำรอง (RAM) ขนาด 4 GB ให้กำหนดพื้นที่พาร์ทิชันสวอป (swap partition) มีขนาด 6 GB จะ
                Additional Size Options :   Fixed size
                Force to be a primary partition : checked (เป็นการเลือกให้เป็นพาร์ทิชันหลักหรือ Primary )
หลังจากตั้งค่าตามที่ได้กล่าวมาก็ให้กดปุ่ม  OK  ดังภาพ


หลังจากตั้งค่าไว้เสร็จก็ทำการกดปุ่ม Next ต่อไป


ต่อไปเป็นการตั้งค่าของ Network Configuration
                ในการกำหนดค่าอุปกรณ์ของเครือข่ายระบบชื่อโฮสต์และพารามิเตอร์ DNS ซึ่งควรต้องกำหนดการ์ดเชื่อมต่ออย่างน้อยหนึ่งการ์ดเพื่อใช้ในการติดต่อกับหน้าอินเตอร์เฟสของ Openfiler เป็นตัวจัดการระบบ จะตั้งค่าเป็น Static IP หรือ DHCP  ก็ได้ รูปภาพข้างเป็นการกำหนดแบบ manually (Set Static) ในที่นี้มี 1 การ์ดการเชื่อมต่อชื่อ eth0 สามารถที่จะตั้งค่าได้โดยกดปุ่ม Edit แล้วจะมีหน้าต่าง Edit Interface eth0 ขึ้นมาให้กำหนดค่าตามรูปดังนี้ 




                  เมื่อกำหนดเสร็จให้กดปุ่ม OK จะกลับมาหน้าต่าง Network Configuration โดยไปตั้งค่า Hostname ซึ่งตรงนี้เป็นกำหนดชื่อของเครื่องหรือการ Join Domain นั้นเอง และการตั้งค่าในส่วนของ Miscellaneous Setting ในที่นี้เป็นลักษณะของการตั้งค่า Gateway , Primary DNS , Secondary DNS ,Tertiary DNS  เป็นต้นเมื่อกำหนดเสร็จก็กดปุ่ม Next ดังนี้





                   หลังจากที่กด Next จะมีหน้าต่างให้เลือก Time Zone Selection ในการเลือกสามารถที่จะใช้เมาส์คลิกที่ ตำแหน่ง Bangkok บนแผนที่โลกได้และกดที่ปุ่ม Next ต่อไป


การตั้งค่า Password Root
                ในหน้าต่างนี้เป็นการกำหนดรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ (Root) โดยในการกำหนดรหัสผ่านนี้จะต้องมีความปลอดภัยซึ่งควรที่จะเป็นลักษณะของตัวอักษรร่วมตัวเลขปนตัวอักขระพิเศษ เมื่อกำหนดเสร็จให้กดปุ่ม Next ต่อไปดังรูป



จะมีหน้าต่างยืนยันในการติดตั้งและการตั้งค่าต่างๆขึ้นมาสำหรับหน้านี้ถ้ายืนยันไปแล้วจะสามารถกลับไปก่อนหน้านี้ได้ เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วก็กดปุ่ม Next ต่อไป


เมื่อกดยืนยันเสร็จระบบก็จะดำเนินการตั้งค่าต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ แล้วเมื่อเสร็จจะให้ Reboot ระบบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 

สำหรับการติดตั้งก็เสร็จเรียบร้อยแล้วระบบการทำการเริ่มใหม่แล้วจะมีการเปิด Service ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำงานในระบบของ Linux Openfiler v2.3 ที่สำคัญคือจะมีหน้าอินเตอร์เฟสเว็บไซต์ให้สามารถจักการกับระบบได้ ดังรูปภาพด้านล่าง  

จากหน้าระบบจะแจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดว่ามีการให้บริการอย่างไรบ้างที่ต้องสังเกตคือตรงที่หัวข้อ Web administrator GUI : https://192.168.146.133:446/  ตรงนี้จะเป็นส่วนที่ให้เข้าไปจัดการระบบต่างๆ ผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือเข้าระบบผ่านหน้า Command line ก็ได้เช่นกัน


เป็นการเข้าไปจัดการระบบ Openfiler v2.3 ผ่าน Web Browser โดยใส่ URL เป็น https://192.168.146.133:446/ แล้วใส่ Username : openfiler   , Password : password

                   จากตรงนี้ก็สำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้วครับ ^^ ง่ายไหม โปรดติดตามตอนต่อไป ในเรื่องของการจัดการเกี่ยวกับ iSCSI Target ใน Linux Openfiler v2.3 นะครับ ^^! 

เหนื่อยเหมือนกันนะเนี้ย ทำเอกสารเนี้ย T___T!!!!!


16 May 2011

How to Windows 7 iSCSI initiator Connect to Openfiler v2.3



วันนี้ ลองเปลี่ยน Look ใหม่ มาเขียนทางฝั่ง Windows บ้างนะครับ ^^

กรณีศึกษา
             1. ลง Openfiler 2.3 ไว้ใน VMware IP: 192.168.146.133 (Target) เป็น NATกับเครื่อง host
             2. ใช้ Windows 7 เป็นตัว Connect initiator (กรณีของ XP ต้องโหลดมาติดตั้งเองครับ)

หน้าตาของ Openfiler 2.3 นะครับ 





ก่อนอื่นเลยนะครับ ไปที่ Administrative Tools แล้วคลิกที่ iSCSI Initiator


จากนั้นก็จะเห็นหน้าตา อันหล่อๆๆ ของ  iSCSI Initiator Properties   (บ้างกรณีจะ Wizard ขึ้นมาให้ เรา Connect นะครับ)
               
                ถึงตรงนี้ ให้ตั้งค่า  Target :  (IP ของเครื่องที่เป็น Server Openfiler Target ครับ)
                จากนั้นให้ คลิก! ที่ Quick Connect…\





จะปรากฏหน้าต่าง ดังนี้ ให้เราทำการเลือกแล้ว Connect ตามใจฉันได้เลยครับ!!


จากข้างบน ถ้าเรากด Done ก็ได้ครับ มา Connect ตรงนี้ก็ได้ กรณีนี้ขอเลือก  Connect ที่ iqn.2006-01.com.openfiler:sandisk3 แล้วกันครับ จากนั้นกด Connect ครับ

ลองไปดูผลลัพธ์ที่  Computer Management ครับ ซึ่งเราจะเห็น ว่าได้มี disk3 เพิ่มเข้ามา 



เท่านี้แหละครับ คุณจะจัดการยังไงก็สุดแล้วแต่ใจจะปรารถนาเลยครับ   หวังว่าจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาต่อไปครับ ^^
                



15 May 2011

Check Distribution for Linux - ดิสทริบิวชันของลีนุกส์

            ถ้าวันหนึ่งเราไปเจอกับคำว่า " เฮ้ย! นายรู้เปล่า Linux  กับ Ubuntu มันคนละตัวกันนะเว้ย!" เอาแล้วซิที่เราเข้าใจคือ Linux กับ Ubuntu มันตัวเดียวกันนะ เพราะว่า Ubuntu ใช้ Kernel ของ Linux นะครับ งง!!! เลย

 ถ้าเจอสาย "เกรียนๆ" อย่างนี้ต้องไปดู ในเว็บไซต์นี้เลยครับ 

       
         

             จากเว็บนี้จะให้อะไรกับคุณมากมาย เกินจะจินตนาการได้ เลยทีเดี๋ยวครับ

9 May 2011

add-on firebug Tools for web developer ของหากิน !!

    เนื่องจาก สถานะการในปัจจุบัน คนเราจำอะไรๆ กันไม่ได้สักเท่าไรนัก ยิ่งเฉพาะเรื่องเรียน เรื่องงาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของแฟน ในบางกรณีที่เราพยายามจะลืม 555+ แต่เรื่องของ กิ๊กเนี้ย สงสัยจะจำได้ ^^ ....!!  จะนอกเรื่องทำไมเนี้ย   สรุป ผมเขียนกันลืมแล้วกันครับ

      มันคือ add-on firefox for web developer นั้นเอง พระเอกก็คือ Firebug ครับผม


      หน้าดาวโหลด http://getfirebug.com/downloads หรือจะ search หาจาก add-on บน Firefox ก็ได้ครับ

 ดาวโหลดไปใช้ใน Browser อื่น http://getfirebug.com/firebuglite
Extension เสริม  http://getfirebug.com/wiki/index.php/Firebug_Extensions

     ยังก็ลองๆๆ เล่นๆ ดูแล้วกันนะครับ แค่นี้แหละ ครับ

Credit : http://blog.levelup.in.th/2011/03/31/firebug/

6 May 2011

How to install zsh ; bash change to zsh เปลี่ยนแนวกันดีกว่า!

         ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ผมเจอบ่อยๆๆ ของการใช้ Shell คือการที่ Shell ไม่ค่อยจะตอบสนองความต้องการเราได้สักเท่าไร นัก ทำให้ เราคน IT ต้องเซงๆๆ ไปตามๆ T__T

         อ่านมาสักพัก แล้ว Shell มันคือ อีหยั่งล่ะ ???? งง!!เด้ นิ......

         Shell คืออะไร......!! .... คงไม่ใช่ หอย!!ที่เราเห็นกันทั่วๆ แน่ๆ 555+ แสดงว่าต้องเป็นหอยวิเศษ กว่าชาวบ้านเค้าแน่นอนครับ !!^^
       
         Shell (เชลล์)  คือหอยที่อยู่ในคอมพิวเตอร์นั้นเอง คอมพิวเตอร์มีหอย แสดงว่าไม่ใช่ผู้ชายแน่นอนครับ !! อ้าว.....!! มั่วกันเข้าไป 555+ เอาสาระบ้างเถอะ (ด่าตัวเองครับ)


        Shell (เชลล์) เป็นโปรแกรมทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้งานและระบบลีนุกส์หรือยุนิกซ์ (Linux/Unix) ทำให้คุณสามารถป้อนคำสั่งให้ระบบลีนุกส์รันตามที่ต้องการได้ โดยจะซ่อนการทำงานของเคอร์เนล(Kernel)ไว้เบื้องหลัง ทำให้ผู้ใช้งานทำงานได้ง่ายขึ้น

      ซึ่งปัจจุบันก็มีการพัฒนา Shell ขึ้นมาใช้งานกันเยอะมาก อย่างเช่น

                sh(Bourne)   ---> เป็นเชลล์ดั้งเดิมของระบบ Unix
         
                csh , tcsh และ zsh ------> ซีเชลล์ สร้างโดย Bill Joy

                ksh , pdksh   ---------> เป็นคอร์นเชลล์ สร้างโดย David Korn

               bash --------> เป็นเชลล์ที่ได้รับการปรับปรุงจากบอร์นเชลล์โดยโครงการ GNU มีข้อดีคือ จะมีซอร์ดโค้ดให้ผู้ใช้งานได้ศึกษาด้วย (เป็น Shell Default โดยเฉพาะ Ubuntu ที่ผมใช้อยู่ครับ)

               rc     ----------> เป็นเชลล์ที่มีลักษณะเป็นภาษา C มากกว่า csh

ผมแนะนำให้ใช้ zsh นะครับ เป็น shell เทพๆๆ หรือว่าฉลาดๆๆ ตัวหนึ่งนั้นเอง ครับ (ผมพึ่งมาเข้าใจว่าทำไมรุ่นพี่ผมที่เป็นโปรเมอร์ ทำไม ถึงใช้ Grml Linux เพราะ Linux ตัวนี้มีการพัฒนาเรื่องของ zsh ที่ดีมากตัวหนึ่งเลยครับ สุดยอด!!! )

                ติดตั้ง zsh โดยใช้คำสั่ง :     sudo apt-get install zsh    (ง่ายมากๆครับ!!)

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ตอนนี้เรายังไม่ได้ใช้ zsh อยู่ ตรวจสอบโดย  #echo $SHELL คำสั่งนี้แหละครับ ถ้าเราอยากที่จะให้ทุกครั้งที่มีการ Login แล้วใช้ zsh เราต้องใช้คำสั่ง

                chsh   (เป็นการเปลี่ยน Shell ในระบบเราครับเมื่อ login)

                แล้วใส่พาร์ทเป็น  /bin/zsh  เสร็จแล้วปิดหน้า Terminal แล้วเข้าใหม่อีกครั้ง เราก็จะมีค่า Default เป็น zsh แล้วครับ เป็น zsh แบบธรรดาอยู่ครับ

                เราต้องอัพความสามารถให้กะ shell อีกนิดหน่อย โดยการไปยืมเอาความสามารถที่ทาง Grml ที่เค้าเป็นเทพๆๆ อยู่มาใช้ก่อนนะครับ (ขอหน่อยนะครับ อืม....เอาเลย!!) เย้ เค้าอนุญาติแหละครับ ดังนั้นเราจัดเต็มเลยดีกว่า โดยการ download จากที่นี้เลยครับ ::::>> ^^



wget -O .zshrc http://git.grml.org/f/grml-etc-core/etc/skel/.zshrc
wget -O .zshrc.global http://git.grml.org/f/grml-etc-core/etc/zsh/zshrc


แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ เราก็จะมี Shell เทพๆๆ ใช้กันแล้วครับ เย้ !!! การเพิ่มความสามารถตามนี้เลยครับ

http://grml.org/zsh/grml-zsh-refcard.pdf

ของเค้าดีจริงครับ !!! 5555+

ถ้าเราต้องการอยากรู้ว่า เครื่องเรากำลังใช้ Shell อะไร เวลา Login ตรวจสอบโดยคำสั่ง   #echo $SHELL




วันนี้พอแค่นี้แหละครับ วันหน้าค่อยว่ากันใหม่ หลับสำบายดีกันทุกคนครับ ไปนอนแหละ!!!  แจ่มเลย 555+

3 May 2011

The Browse Google From Command Line Prompt Unix/Linux

              เหตุเกิดจาก วันหนึ่งครับ นั่งๆๆ อยู่ที่ฝึกงาน 555+ ขำๆๆ เลยเปิด Browser เพื่อจะเปิด Google.co.th มานั่งดูเล่น อิอิ ว่างจัดไง !!!!!   บังเอิญ วันนั้น (วันไหนก็ไม่รู้) เกิดปัญหา เข้าหน้า web Google.co.th  แม่เจ้า ... ชีวิตนี้ดับแน่ การศึกษา ไทยจะ ดำเนินต่อไปได้อย่างไร ถ้าขาด Google 555+ (คุณคิดเหมือนผมเปล่า !!)  แล้วเราจะหาลอกการบ้านจากที่ไหน เนี้ย โอ้ยๆๆ คิดแล้วเศร้าใจ T____T!! ฮือๆๆๆๆ

               แล้วจะทำไงดี ล่ะ พี่น้อง .........!!!    ติ้งๆๆๆๆ!!!! คิดออกแล้ว แว้วๆๆๆๆๆ (หัวออกแสงสว่าง ปิ้งๆๆๆ!!!  ในตา มีประกายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า เมื่อยามข้ามคืนเดือนมืดประมาณ ตี 2 ....... ตีสอง ละเด้อน้องหล่า !!! )555+ มั่วได้ใจจริงๆๆ อิอิ


               สิ่งผมคิดออกมันก็คือ ........ ๆๆๆๆๆ   ........^^!  อารายว่ะ 5555+ ตูคิดอะไรออกว่ะ .....T_T


              สรุปมันก็คือ Google Command Line Prompt   ครับพี่น้อง  ถือว่าเป็นอีกช่องทาง ในการที่จะ Search Google นะครับ ไว้เผื่อใครที่ไม่ต้องการ หน้าตาแบบเดิม หรือเป็น Look ใหม่ นั้นเอง



         Goosh เป็นลักษณะของ Command Line (SHELL) ของ Unix / Linux ที่จับมาใส่ไว้ใน Interface ของ web Browser  นั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ต้องการ ความรวดเร็วในการ ค้นหาข้อมูลโดยที่คุณไม่จำเป็นต้อง จับเมาส์เลย 555+ 

          ความสามารถของ Goosh นั้น มีความโดดเน้นในเรื่องของการ ค้นหาที่เร็ว ทั้ง web ,images , news และ Wikipedia  ซึ่งสำหรับการแสดงผลลัพธ์ ในการค้นหาก็ ดูสบายตา ดีนะครับ !!!  



             ผมว่าแนวคิดเค้าดี เจ๋งดีนะ แต่การพัฒนาระบบนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร อยู่นะครับ ยังไงก็ลองเล่นดูแล้วกันนะครับ !!  ไปนอนแหละครับ บาย!!!

2 May 2011

The Lightweight Directory Access Protocol ( LDAP ) ภาค 2

      สำหรับบทความนี้ เรามาดูเรื่องของ Attribute (ผมนึกถึง คุณสมบัติ ) ของ LDAP กันบ้างนะครับว่าสามารถกำหนดอะไรให้ได้บ้างนะครับ

Attribute สามารถสนับสนุนข้อมูลชนิดต่างๆ มีดังนี้ *****
1. Attribute String  : กำหนดข้อมูลประเภท “ข้อความ” ได้
2. Attribute  Number (Integer) : กำหนดข้อมูลประเภท ตัวเลขได้
3. Attribute  Time :  กำหนดข้อมูลประเภท เวลาได้
4. Attribute  Telephone Numbers :  กำหนดข้อมูลประเภท หมายเลขโทรศัพท์ได้
5. Attribute Boolean : กำหนดข้อมูลประเภท “บูลีน =True(จริง)/False(เท็จ)” ได้
6.  Attribute Binary : กำหนดข้อมูลประเภท  “ไบนารี่ได้
7. Attribute Distinguished Name :กำหนดข้อมูลประเภท “Distinguished Name” 
8.  Attribute Bit Strings :  กำหนดข้อมูลประเภท บิตได้


 ตัวอย่างของ Attribute 

Meaning of Attributes In the ASET Penn State White Pages LDAP Database

LDAP attribute
PH equivalent
Data Source
Object Class
Intended Use
createTimestamp
NONE
ldap
internal
when entry was created
psAdminarea
admin_area
psu
psuP
your administrative area
psBirthday
Birthday
USER
psuP
your birth date
psCallsign
Callsign
USER
psuP
your ham radio call sign
psCampus
Campus
psu
psuP
your campus name
psColleges
Colleges
USER
psuP
colleges you attended
cn (commonName)
name
psu/user
person  MV
your names and nicknames
displayName
NONE
psu
inetOrgP
preferred name for display
psCountries
Country
USER
psuP 
countries expertise
psCurriculum
Curriculum
psu
psuP
student's main curriculum
psAdditionalCurricula
NONE
psu
psuP  MV
other majors
psDepartment
Department
psu
psuP
your Penn State department name
psdirIDN
NONE
psu
psuP
for internal use
fax (fascimileTelephoneNumber)
fax
USER
orgPers
your fax number
givenName
NONE
psu
inetOrgP
your first + middle names
psHighschool
Highschool
USER
psuP
HS you graduated from
homePostalAddress
home_Address
USER
inetOrgP
home address
Homephone
home_phone
USER
inetOrgP
home phone
psHours
Hours
USER
psuP
faculty/staff hours
psIDN
ssn
psu
psuP
ssn. Never displayed.
psLanguages
Languages
USER
psuP
natural languages expertise
Mail
Send_Email_To
psu/user
inetOrgP
your preferred e-mail address
psMailID
alias
USER
psuP
unique mailing ids (uid is one)
psMailbox
email
psu/user
psuP
where e-mail actually is stored
Mobile
NONE
USER
inetOrgP
mobile phone # e.g.,cellphone
edupersonNickname
Nickname
USER
psuP MV
other name commonly used to address you in writing/speech (e.g., Joe for Joseph)
psOfficeAddress
Office_Address
USER
psuP
your office address
psOfficeLocation
Office_Location
USER
psuP
your office location
psOfficePhone
Office_Phone
USER
psuP
your office phone
psOtherInfo
other
USER
psuP
any other personal data
pager (pagerTelephoneNumber)
pager
USER
inetOrgP
your pager number
psPermanentAddress
Permanent_Address
USER
psuP
your pemanent address
psPermanentPhone
Permanent_Phone
USER
psuP
your permanent phone #
postalAddress
Address
psu
orgPers
your local address
eduPersonPrimaryAffiliation
type
psu
eduPerson
facstaff, student, etc
eduPersonPrincipalName
NONE
psu
eduPerson
uid@psu.edu
psProject
Project
USER
psuP
your Penn State-related projects
Uid
userid
psu
inetOrgP
your permanent unique userid
psResearch
Research
USER
psuP
your Penn State-related research
sn (surname)
NONE
psu
person
your last name
psTeaching
Teaching
USER
psuP
about courses you teach
telephoneNumber
phone
psu
inetOrgP
local telephone number
Title
title
psu
OrgPers
your faculty/staff title
labeledURI
url
USER
inetOrgP
e.g., a personal URL
modifyTimestamp
last_seen
ldap
internal
when entry was modified


Credit : http://aset.its.psu.edu/ldap/ldap_attributes.html

1.             Object Classes 

คือ Object ที่ประกอบด้วย Attribute  มีลักษณะเหมือนคล้าย Packet ของ Attribute ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญ 3 อย่างคือ

1.  Object class ใช้หมายเลข Object Identifier (OID ) เป็นหมายเลขใช้ในการอ้างอิงและมีโครงสร้างแบบลำดับชั้น มีทั้งส่วนที่เป็นมาตรฐานและบางส่วนที่ไม่ตายตัวอาจกำหนดจากผู้ดูแลระบบเอง ซึ่งใช้ในการระบุเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อน

2.  สามารถกำหนดระดับความต้องการของ Attribute ที่จัดเก็บข้อมูล โดย Keyword
§  “MUST” คือสำหรับ Attribute ที่จะต้องกำหนดค่าให้ (Mandatory Attribute)
§  “MAY” คือสำหรับ Attribute ที่เป็นส่วนเสริมหรือเพิ่มเติม (Optional Attribute) ซึ่งจะมีการกำหนดค่าหรือไม่ก็ได้

3. มีการถ่ายทอดคุณลักษณะของ Parent Object Class    มายัง Child Object Class

ยังไม่จบนะครับ โปรดติ..ก ต....า....ม ต....อ...ง ต่อไป นะครับ 5555+